จอมขมังเวทย์ 2020 ภาคต่อที่รอคอย

จอมขมังเวทย์ ภาคแรกออกฉายในปี พ.ศ. 2548 ผลงานการควบคุมของปิยะพันธ์ ชูเพ็ชร์นำแสดงโดยฉัตรชัย ส่องแสงพานิชและก็อัครา อมาตยกุล หนังแนวแอ็คชั่น ทริลเลอร์ที่จับเอาความเชื่อทางไสยศาสตร์มาผนวกรวมกับหนังแนวสืบสวน พูดได้ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังไทยหลายชิ้น

เกิดอะไรขึ้นในหนังภาคแรก

mark 1
ฤทธิ์ (ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช) สมัยก่อนนายตำรวจหน่วยพิเศษเคยจับคนร้ายที่มีความรู้และความเข้าใจแก่กล้าทางคาถาอาคม หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้ามานับไม่ถ้วน แต่ว่าตัวเขาเองกลับถูกลงโทษคดีวิสามัญคนร้ายจนแปลงเป็นนักโทษถูกขังลืมอยู่ในเรือนจำมืดแดนกักขังพิเศษ
10 ปีผ่านไปฤทธิ์ได้ล่องหนไปจากกรงขังแบบล่องหนได้ ทำให้พ.ท.ทศพล สมัยก่อนเพื่อนนายตำรวจได้สั่งการจับตายฤทธิ์ และก็มีคำบัญชามาถึงร้อยตรี สงบสุข (อัครา อมาตยกุล) ให้ตามทำคดีนี้ แต่ทว่าระหว่างตามหาตัวฤทธิ์ สงบสุขกลับเจอแต่ว่าเหตุแปลกเกี่ยวกับเรื่องของคุณไสยมนต์ดำ เป็นต้นว่าการปลุกเสกตะปูเข้าท้อง คนร้ายที่คงกระพันหนังเหนียว แต่ว่าไม่ว่าจะยากลำบากมากแค่ไหนสงบสุขก็ไม่กลัวและก็ขมักเขม้นที่จะจับกุมตัวฤทธิ์มาให้ได้ เมื่อเขารู้ตัวว่าตนเองบางทีก็อาจจะจำต้องประจันหน้ากับจอมขมังเวทย์ผู้ครอบครองคาถาอาคม หนทางเดียวที่จะสยบเขาให้ได้คือเป็นให้ “เหนือกว่าจอมขมังเวทย์”
จนผู้ชมในช่วงนั้นจดจำคำคมจากนักแสดงของฤทธิ์ได้ว่า “เอ็งอย่าบ้าราวกับเราตามใจ” ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

เกิดอะไรบ้างที่อยู่ใน จอมขมังเวทย์ 2020

mark 2
ท่ามกลางการสูญเสียครั้งใหญ่ของวิน(หมาก ปริญ) ชายหนุ่มผู้มีชีวิตรอดจากเหตุการฆ่าสังหารกลับจำต้องแปลงความเชื่อและก็เชื่อถือที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยมุ่งหน้าเพื่อเข้าสู่ศาสตร์ลึกลับและก็คาถาอาคมเวทต่างๆเพื่อสืบหาและก็จัดการคนร้ายด้วยตนเอง แต่ทว่ายิ่งเขาสืบหาตัวคนร้ายมากแค่ไหน เขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ด้านมืดมากขึ้นทุกครั้ง จนทำให้จำต้องเข้าไปพันพัวกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย), “ผู้บ้าพลังทำลาย” (ก๊อต จิรายุ) และก็ “เจ้าลัทธิใหม่ที่ยุค” (นก สินจัย) ซึ่งล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมด้วยกันทั้งปวง นี่คือการปะทะกันครั้งสำคัญ ที่มีเชื่อถือที่ตัวตนเป็นเดิมพันและก็คาถาอาคมปาฏิหาริย์เป็นตัวชี้ชะตา กำลังปะทุถึงขีดสูงสุด

นี่คือหนังภาคต่อ! ไม่ใช่รีเมค หรือรีบูต

mark 3
สำหรับตัวผู้กำกับต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ ที่กำกับหนังภาคแรก ได้บอกว่าจอมขมังเวทย์ 2020 ไม่ใช่หนังรีเมค ไม่ใช่หนังย้อนอดีต เป็นหนังต่อภาคอย่างแท้จริง ซึ่งเขาได้รับจังหวะสำหรับเพื่อการกลับมาสร้างเรื่องราวในโลกคาถาอาคมอีกรอบโดยตกผลึกเรื่องราวความเชื่อ ความเชื่อถือ และก็มุมมองด้านสังคมในแต่ละยุคที่ส่งต่อและก็เชื่อมโยงถึงกันมาใส่ในบทภาพยนตร์
ในมุมมองที่น่าสนใจของตัวผู้กำกับที่สะท้อนออกมาว่า “ภาคต่อกับช่วง” นับว่าเป็นแนวความคิดที่สำคัญไม่น้อย ด้วยเหตุว่าเวลานี้แนวความคิดประเด็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความเหลวแหลกนั้น มุมมองของมนุษย์ก็เริ่มมีความไม่เหมือนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทกับความคิด ความเชื่อและก็ความเชื่อถือของมนุษย์ก็เลยเปลี่ยนไปตามเวลา ผู้กำกับก็เลยเริ่มถามที่ว่า “ยุคนี้เขาเชื่อถืออะไรและก็ยุคก่อนเชื่อถืออะไร” จนเขาได้ไอเดียที่ว่าด้วยความไม่เหมือนระหว่างความเชื่อของคนต่างช่วงเอามาสู่หลักสำคัญอะไรได้บ้าง
“ความคิดของการปะทะกันเรื่องความเชื่อของตน บางอย่างพวกเราคิดว่ามันงี่เง่า แต่ว่าที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆรอบตัวพวกเราหมดเลย พวกเราห้อยพระ พวกเราไปไหว้พระ เพื่อที่จะได้ให้พวกเราคิดว่าพวกเรามีกำลัง พวกเรามีเชื่อถือในตนเองขึ้น สมัยก่อนพวกเราไปกราบไหว้ แต่ว่าในปัจจุบันมันเป็นเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องพลังจิต เรื่องพลังจักรวาลอะไรอย่างงี้ อันนี้คือคอนเซปต์ที่พวกเราพูดถึงความเชื่อของคนสองยุคมาเจอะกัน พวกเราจะเชื่ออะไรมากยิ่งกว่ากัน ซึ่งมันก็จะเป็นเรื่องราวและก็กรรมวิธีของจอมขมังเวทแต่ละคนที่จะใช้ศาสตร์คาถาอาคม มนตร์ ไสยศาสตร์ต่างๆมาต่อสู้กันตามความเชื่อและก็เชื่อถือของแต่ละคนเอง” ต้อม-ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ กล่าว

เพราะอะไรจำต้องใช้นักแสดงเบอร์ใหญ่ขนาดนี้
“จอมขมังเวทย์ 2020” เป็นการก้าวเข้าสู่โลกคาถาอาคมครั้งใหม่และก็ประจันหน้าครั้งยิ่งใหญ่ของ “เหล่าจอมขมังเวท” หลากหลายคาแร็กเตอร์เช่นนี้ “ความขลังทางการแสดง” ก็เลยเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญที่ผู้กำกับจำต้องโฟกัสเป็นพิเศษไม่แพ้ด้านอื่นๆและก็ได้เลือกสรร “กลุ่มนักแสดงขมังเวท” ซึ่งคณะทำงานตัดสินใจใช้นักแสดงระดับแถวหน้าของแวดวงสนุกสนานไทย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นจอหนังใหญ่คราวแรกของ หมาก-ปริญ สุภารัตน์ การกลับมารับหน้าที่เดิมจากภาคที่แล้วของนก-ฉัตรชัย ส่องแสงพานิช ก๊อต-จิรายุ ตันเครือญาติ กับบทชายหนุ่มที่คลั่งไคล้ในศาสตร์มืด นก-สินจัย เปล่งพานิช กับการคืนจอใหญ่ในบทเจ้าแม่ลัทธิ! รวมถึงนักแสดงเลือดใหม่เป็นต้นว่า คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล และก็ แพร์-พิชชาภา พันธุมจินดา โดยเหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับเพื่อการใช้ศิลปินเบอร์เต็งขนาดนี้ก็เพราะเหตุว่า หนังต้องการฝีมือทางด้านการแสดงที่จะจำต้องบาดใจอารมณ์กัน ด้วยเหตุว่าทุกนักแสดงมีความซับซ้อน น่าคลั่งไคล้และก็เป็นตัวละครที่มีความทะยานอยากทุกตัว
นอกจากนักแสดงเบอร์ใหญ่แล้ว งานวิธีพิเศษและก็ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้จัดเต็มและก็อัดแน่นไม่แพ้กัน ซึ่งบรรดาฉากต่อสู้ปล่อยพลังทางไสยเวทย์นั้น พูดได้ว่าเป็นฉากที่ผู้ชมหนังไทยในปี 2019 จำเป็นต้องจดจำอย่างแน่แท้!